
เมื่อญี่ปุ่นผ่อนคลาย ไม่ต้องตรวจ PCR เราก็ได้ฤกษ์จองตั๋วไปญี่ปุ่นช่วงที่เด็กๆปิดตรุษจีนพอดี เที่ยวรอบนี้เราต้องตะลุยโตเกียวคร่าาาา
● การเดินทางภายในเราจะใช้ JR Tokyo wide pass ที่คลอบคลุมการเที่ยวของเรา บัตรนี้จะเป็นแบบ Unlimit สามารถใช้เดินทางกี่ครั้งก็ได้แต่จะมีระยะเวลาแค่ 3 วันนับตั้งแต่เปิดบัตร เราสามารถซื้อล่วงหน้าได้แต่จะใช้งานวันไหนก็ขึ้นกับเราเลยค่ะ ใช้ได้ทั้ง Bullet Train, JR Express train, All JR Local train, Ferry to MIYAJIMA บางเส้นทางต้องจองล่วงหน้า บางเส้นทางขึ้นได้เลย รายละเอียดการใช้งานคลิ๊กดูในรูปด้านล่างนะคะ บัตรเด็ก 5,090 เยนก็ราวๆ 1,300~บาท ผู้ใหญ่ 10,180 เยน ก็ราวๆ 2,500~บาท แค่นั่งชินกังเซ็นก็เกินแล้วน้า
● ส่วนโรงแรมที่เราพักคือ Tokyo bay shiomi prince hotel เป็นโรงแรมเพิ่งเปิดใหม่ เดินไปสถานีรถไฟแค่ 2 นาที โรงแรมจะอยู่ระหว่างทางไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์ ด้านล่างโรงแรมมี Family mart ที่มีครบทุกอย่างของกินของใช้ แม้จะไม่ใช่ 5 ดาว เน้นบริการตัวเองเป็นหลัก แต่ก็สะดวกสบาย ห้องกว้าง สะอาด อุปกรณ์ครบ แนะนำว่าควรค่าแก่การพัก เจอคนไทยที่เป็นกรุ๊ปทัวร์เยอะเหมือนกันค่ะ ที่สำคัญพื้นไม่พรมค่ะแถมมีเครื่องฟอกอากาศในห้องด้วย เริ่ดดดดด
● เงิน- เราแลกเงินญี่ปุ่นติดตัวไว้จำนวนหนึ่งค่ะ อีกส่วนใช้บัตร Travel Card รอบนี้ใช้ของ U-Trip แม่ก็เล็งช่วงที่ค่าเงินเยนอ่อนซื้อเก็บไว้ก่อนเลยค่ะ ปรากฏช้อปเพลินไปนิด แต่สามารถโอนเติมก็เข้าทันที สะดวกมากค่ะ ส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นเค้าก็รับบัตรเครดิตนะคะ มีไม่กี่ที่ไม่รับค่ะซึ่งยังไงก็ต้องมีเงินสดติดตัวไว้ค่ะ
● ปลั๊กไฟ- ที่ญี่ปุ่นเป็นแบบหัวแบน ปลั๊กบางอย่างของเราสามารถเสียบได้เลยไม่ต้องแปลง ส่วนใหญ่ที่ รร. จะมี International plug ให้อยู่แล้ว แต่จะเป็น USB พวก type-C นี่ต้องเตรียมไปเอง จริงๆเผื่อเหลือเผื่อขาดก็ควรเตรียมไปเองค่ะ ที่สำคัญไฟบ้านเค้า 110 V นะคะ ของบ้านเรา 220 V จะเอาอุปกรณ์ไฟฟ้าไปใช้ต้องเช็คก่อน
● ยา- หาซื้อได้อยู่ค่ะ เราเตรียมแบบจัดเต็มให้คุณหมอจัดให้เค้าจะรู้ว่ายาไหนต้องห้ามนำเข้าที่ญี่ปุ่น อย่างยาแก้แพ้ซูโดฯขวดสีเขียวก็ไม่อนุญาตค่ะ ได้ Zyrtec มาแทน ตอนเดินเที่ยวลืมยาไว้ที่ รร เราสามารถหาซื้อได้อยู่ แต่อธิบายกันยากพอสมควรกว่าจะเข้าใจ 555 ด้วยอากาศหนาวน้ำมูกย้อยเลยค่ะ ยังไงก็ต้องมีแก้แพ้ติดไว้เป็นหลัก นอกนั้นไม่ได้ใช้เลยค่ะขนกลับบ้านเหมือนเดิม
● ในส่วนของการเตรียมเอกสาร Visit Japan Pass ก็ลงทะเบียนล่วงหน้าแล้วปรินซ์ให้เรียบร้อย พอลงเครื่องปุ๊บจะมีเจ้าหน้าที่ดักเพียบเลยค่ะ ให้รับป้ายคิวมาก่อนนะคะ แล้วเดินเอกสารตามสีที่กำหนด ให้สแกนตามสีง่ายๆเลย ข้อควรรู้มีแค่นี้ ซึ่งหลังจากนี้ก็ได้เวลาลุย!!!
รายละเอียดทริป ![]()
📍 DAY 1- เดินทางเชียงใหม่-สุวรรณภูมิ-ฮาเนดะ
เด็กๆตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 เดินทางจากสนามบินเชียงใหม่ตอน 8 โมงไปเปลี่ยนเครื่องที่สุวรรณภูมิ เรา Check Through นะคะ ดังนั้นจะตรวจเอกสาร ตม. ที่เชียงใหม่แทน คนอย่างโล่ง จากนั้นขึ้นเครื่องต่อจากสุวรรณภูมิประมาณบ่าย 2 นิดๆ (ตรงนี้มีแต่ตรวจกระเป๋า) ไปถึงญี่ปุ่นประมาณ 3 ทุ่ม กว่าจะผ่านตม. ตรวจเอกสารลงทะเบียน Visit Japan web ค่อนข้างใช้เวลานานค่ะ มีจุดตรวจหลายจุดวุ่นวายพอสมควรค่ะ (นี่ขนาดมาทาง wheel chair ) กว่าจะออกมาปาไปเกือบ 5 ทุ่ม แค่เดินทางก็เหนื่อยแล้วอ่ะ ![]()

ร้านค้าในสนามบินคือปิดกันหมด เด็กๆหิวกันมากเลยค่ะ โชคดีมีขนมปังติดกระเป๋ารองท้อง ส่วนพวกตั๋วรถไฟ JR Tokyo wide pass ปิดหมดค่ะ เราต้องไปแลกที่สถานีรถไฟ Tokyo ในวันรุ่งขึ้น
จากสนามบินไปโรงแรมเราใช้บริการรถตู้ลิมูซีนจองผ่านบริษัท ChiniChi (9000 เยน) สรุปถึงโรงแรมเกือบเที่ยงคืน เดินทางทั้งวัน~ Zzzz (สำคัญเรื่องกระเป๋า เราโดนจำกัดกระเป๋าจากปะป๊าให้แค่ไซส์ใหญ่ 2 ใบสำหรับ 4 คน!! เดี๋ยวเต็มพื้นที่รถลิมูซีนค่ะ เพราะจะมีของอากงอาม่าอีก 2 ใบ จัดกระเป๋าแบบอันจำเป็นถึงเอาไปนะคะ ใส่ซ้ำบ้างโอเคค่ะ 555)




📍 DAY 2 – Tokyo Station-Odaiba-AQUA City Odaiba- teamLab
วันนี้เคลียร์เรื่องตั๋ว JR Tokyo wide pass ที่สถานี Tokyo เดินหาที่แลกตั๋วนานเหมือนกันค่ะกว่าจะเจอ หลงไปหลงมา
จากนั้นก็จองตั๋วรถไฟ Shinkansen ไปหิมะที่ Karuizawa และตั๋วรถไฟสำหรับไป Kawaguchigko เพื่อไปภูเขาไฟฟูจิ จองครบทุกอย่างก็ทานอาหารในสถานี Tokyo นี้แหละสะดวกดี ซึ่งในนี้มีร้านอาหารเยอะมาก แต่ช่วงเวลาเที่ยงคือคิวยาวทุกร้านค่ะ ช่วงนั่งรออาหารแม่ก็กดซื้อตั๋วออนไลน์ของ teamLab ค่ะ เมื่อเสร็จธุระต่างๆก็ได้เวลาเที่ยวจริงๆสักที!! กว่าจะได้เที่ยวเนาะ
(การแลกตั๋วต้องใช้ Passport ตัวจริงและต้องไปแสดงตัว)





จริงๆจะขึ้นรถไฟตรงไปที่ Odaiba ก็ได้ค่ะ แต่ต้องเปลี่ยนหลายสถานี อากงอาม่าเมื่อยขาละ 555+ เราจึงเลือกนั่งแท๊กซี่ไปแทน


เลือกลงที่ AQUA City Odaiba ซึ่งห้างนี้จะติดริมทะเล สามารถเดินข้ามจากตัวห้างไป Odaiba Marin Park ที่เป็นพื้นที่ริมทะเลได้เลย จะมีเทพีเสรีภาพจำลองและสะพานสีรุ้งให้ถ่ายรูปสวยๆ




ห้ามพลาดคือ ชั้นล่างสุดจะมีร้าน Toy r us ที่ใหญ่ม๊ากกกกก Pet Shop ที่มีของน่ารักๆเพียบค่ะ หรือร้าน Disney store ด้วยค่ะ ส่วนใครที่ชอบนั่งรถสะเทินน้ำสะเทินบกชมวิวมีบริการที่ประตูด้านหลังค่ะ หรือใครชอบกันดั้มสามารถเดินไปถ่ายรูปกับกันดั้มยักษ์ที่ห้าง Divert City Tokyo Plaza ข้างๆได้


และยังมีร้าน Pop up shop ที่เป็นร้านเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องชินจัง มีของที่ระลึกของชินจังเพียบเลยค่ะ

พอใกล้ถึงเวลาดูนิทรรศการที่ teamLab (แบ่งเป็นรอบตามเวลา) เราออกจากห้างเดินไปสถานีรถไฟ Daiba Station เพื่อนั่งไปลงสถานี Shin-Toyosu Station ซึ่ง teamLab จะอยู่ติดสถานีรถไฟเลยค่ะ พอไปถึงก็โชว์ตั๋วที่แคปหน้าจอไว้ก็เข้าไปได้เลยนะคะ
ที่นี่จะจัดแสดงเทคโนโลยีทางแสง สี เสียงที่สวยงามมากๆแบ่งเป็นห้องๆให้เที่ยวชมและอีกส่วนของนิทรรศการคือส่วนของสวนดอกไม้ สวยน่ารักมาก จุดเด่นคือ จะต้องเดินลุยน้ำเข้าไปค่ะ เด็กกับน้ำนี่ของคู่กัน ชอบมากสิคะ




ยิ่งเด็กๆมีส่วนร่วมกับนิทรรศการด้วยยิ่งชอบมากขึ้น “หนูสนุกและมีความสุขมากๆเลย” แม่ได้ยินก็ปลื้ม ที่เลือกที่เที่ยวได้ถูกใจลูก
ที่นี่เปิดรอบสุดท้าย 1 ทุ่มเลยค่ะ จากนั้นเราก็กลับโรงแรมเตรียมเที่ยววันต่อไป

📍 DAY 3 – ดูภูเขาไฟฟูจิ Kawaguchiko- Fugaku Wind Cave
วันนี้จะพาเด็กๆไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟฟูจิ และไปดูถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยที่เป็นน้ำแข็งกันค่ะ ด้วยเราจองแบบกระชั้นชิดเลยได้ตั๋วรถไฟรอบ 11 โมงแต่เป็นการนั่งยาวจากสถานี Shinjuku ไปถึงสถานี Kawaguchiko นะคะ นั่งเกือบ 2 ชั่วโมง รถไฟนี้เป็นรถไฟธรรมดาแต่ระบุที่นั่ง ส่วนขากลับได้แบบธรรมดาค่ะ แม่ก็เตรียมน้ำ ขนมและอาหารไปทานด้วย ซึ่งเป็นสองชั่วโมงที่ไม่น่าเบื่อเด็กๆดูวิวข้างทางกันสนุกมาก


ดังนั้นก่อน 11 โมงเราจึงมีเวลาเตร็ดเตร่แถว Shinjuku Sta. ค่ะ จึงเดินออกมาจากสถานีสำรวจศาลเจ้า Raiden ที่เดินออกมาประมาณ 10 นาทีก็ถึงเป็นศาลเจ้าเล็กๆแต่มีคนมาแวะไหว้ตลอด แม่ก็ไหว้ขอพรให้เด็กๆสุขภาพดีเดินทางปลอดภัย
ซึ่งแถวนั้นจะมีร้านให้ช้อปปิ้งเยอะค่ะ



เราไปถึงที่ Kawaguchiko Sta. ตอน 13.09 น. แต่รถไฟขากลับคือ 17:47 น.
มีเวลาเที่ยวแค่ 4 ชั่วโมง รถไฟที่นี่ตรงเวลาด้วยนะคะ พลาดแล้วพลาดเลยค่ะ ที่ Kawaguchiko จะมีรถบัส Local แบบ One day trip ให้บริการ มี 3 สาย ซื้อได้ที่สถานีรถไฟได้เลยค่ะ ตรงนี้ มีที่เที่ยวเยอะมาก ที่หลักๆคนจะไปทะเลสาบ Kawaguchi ที่จะเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิสวยๆ ให้นั่งรถบัสสีแดงลงป้ายที่ 12-13 จะเห็นวิวภูเขาไฟชัดมากค่ะ นอกจากนั้นสามารถลงเที่ยวตาม Bus stop ต่างๆก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ สวนสวยๆ ร้านอาหาร คาเฟ่




แต่มารอบนี้แม่จะพาเด็กๆไป Fugaku Wind Cave ถ้ำที่เกิดจากลาวาภูเขาไฟฟูจิเป็นถ้ำที่มีน้ำแข็งภายในถ้ำตลอดปี แต่!! เราตกรถค่ะเพราะแม่ไปรอผิดสี
ถ้ารอรถรอบต่อไปคือกลับมาไม่ทันแน่ๆ ดังนั้น!!! แท๊กซี่!! คือคำตอบค่ะ 555+ จ่ายไป 4,900 เยน ใช้เวลาเพียง 15 นาทีประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก


พอไปถึงบรรยากาศคือเป็นป่าแบบโบราณ สวยและเงียบสงบ ทางเข้าจะลึกลงไปค่อนข้างชันและตัวถ้ำจะมีจุดที่ต้องก้มตัวเดินบางจุด ด้านในคือหนาวแบบยะเยือกค่ะ ขนตานี่เป็นน้ำแข็งเลยค่าาา ถ้ำนี่จะเอาไว้เก็บตัวอ่อนผีเสื้อ ที่สมัยยุคผ้าไหมเฟื่องฟู มีป้ายให้เรียนรู้ตลอดการเดินค่ะ ซึ่งระยะทางสั้นมาก 10 นาทีก็เดินจบค่ะ จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับเจอเหมาไม่เปิดมิเตอร์แค่ 3,000 เยน อุ้ย!! เค้าบอกเรามี 3 คนแม่ลูกเลยเอาแค่นี้ รีบนั่งเลยค่ะ

ทำให้มีเวลานั่งรถบัสสีแดงเที่ยวได้อีกหน่อย ตอนนั่งรถจะไปถ่ายรูปเมฆบังฟูจิซะงั้นเลยไม่ได้ลงบัส 555 มาถ่ายได้ตอนนั่งกินขนมรอรถบัสกลับ แอบเสียดายเล็กๆ แต่จากมุมนี้เห็นภูเขาไฟฟูจิลูกใหญ่มว๊ากกกกก สวยสุดๆเลยค่ะ อีกอย่างพวกพิพิธภัณฑ์ที่เที่ยวทั้งหลายปิดรอบสุดท้าย ตอน 4 โมงเย็น มีแต่ร้านขนมกับของฝากที่ยังพอเปิดอยู่ค่ะ



บอกไว้ก่อนว่าเที่ยวทุกครั้งห้ามลืม Passport !!! เพราะที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะทำ Tax Refund ให้เลยสะดวกมากๆค่ะ พอถึงเวลาก็นั่งรถไฟกลับ ได้รถธรรมดาเหมือนนั่งรถไฟชั้น 3 มีพนักงานมาขายขนม อาหารในตู้ด้วย จากนั้นก็กลับโรงแรมจบไปอีกหนึ่งวัน

📍 DAY 4 – เล่นหิมะที่ Karuizawa – ช้อปปิ้ง Outlet
วันนี้ออกนอกเมืองอีกแล้วค่ะ ไกลกว่าเดิมแต่เราจองรถไฟ Shikansen ดังนั้นใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆ เดินทางจาก Tokyo sta. ไปยัง Karuizawa Sta. นั่งยาวๆเตรียมขนม-อาหารไปทานคือแป๊บๆถึงแล้วเหรอ ไวมาก


เดินออกจากสถานีเลี้ยวขวาถึง Outlet เลยค่ะ โอ้ยยยยของแบรนด์ลดกระหน่ำ ถูกมว๊ากกกกกกก

แต่เด็กๆตั้งตาคอยเล่นหิมะดังนั้นต้องพาเด็กๆไปที่สกีรีสอร์ต Karuisawa Prince Hotel and Resort ก่อนค่ะ มีรถ Shutter bus บริการที่นี่มีลานหิมะสำหรับเด็กโดยเฉพาะค่ะ เป็นสนามเด็กเล่นเลยมี Sled Tubing บ้านลม ชุดของเล่นหิมะ มีจุดเช่าชุดสกี มี ski course ให้บริการแต่ต้องจองล่วงหน้าค่ะ





ถ้าหนาวก็มาพักที่ห้องพักได้นะคะ มีฮีตเตอร์และตู้เครื่องดื่ม ห้องน้ำบริการใกล้ๆจุดที่ลูกเล่น หรือถ้าอยากทานร้านอาหารก็มีเปิดในโรงแรมค่ะ เล่นกันสนุกมากๆอยู่ข้างนอกยาวๆไม่พักเลยค่ะ เพราะเสื้อผ้าพร้อมมาก

พอหมดเวลาที่เช่าชุด (4ชม.) ก็พาเด็กๆไป outlet ที่ปะป๊านั่งรอเราอยู่ ที่นี่มีร้านอาหารเยอะมากกกกกก แถมมีสนามเด็กเล่นบริการด้วยค่ะ แม่ก็ช้อป ปล่อยพ่อเฝ้าลูกบ้างเนาะ สวรรค์นักช้อปจริงๆค่ะ มีทั้ง Gucci, Prada, Miu Miu, GAP, Lego, NB, Adidas เครื่องกีฬาแบรนด์หรูๆ เครื่องสำอางและอื่นๆอีกมากมาย สำคัญคือต้องมี Passport นะคะ




ถึงเวลารถไฟมาแล้ว แม่ยังเดินไม่ทั่วเลยอ่า อยากมีเวลาเยอะกว่านี้ นั่งชินกังเซ็นกลับโตเกียวอีกชั่วโมงกว่าๆ ต่อกลับโรงแรมอีกนี่กลับโรงแรมดึกทุกวันเลยค่ะ แม่จะสลบแต่ลูกยังคึกคักเพราะวันพรุ่งนี้วันที่รอคอยค่ะ

📍 DAY 5 – Disneyland เต็มๆวัน
วันนี้เราไปแต่ดิสนีย์แลนด์ค่ะ ตั้งแต่เช้ายันสวนสนุกปิด ช่วงเช้าฝนตก! แต่พยากรณ์บอกว่าสายๆจะเริ่มสดใสและเย็นๆจะมีลมพายุ ด้วยเราเที่ยวกันสามคนดังนั้นแม่ตัดสินใจไม่เอาร่มกับเสื้อกันฝนไป เชื่อใจกรมอุตุบ้านเค้าอ่ะ 555+ วันนี้หนาวมาก -2 องศา เครื่องแต่งตัวก็แน่นเลยค่ะ จำได้ว่าเคยเที่ยวแบบหนาวปากสั่น เล็บม่วง ต้องคอยหลบเข้าหาฮีตเตอร์บ่อยๆ เพราะฉะนั้นครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอย ต้องเอาอยู่!! กลางวันนี่ถึงกับถอดเสื้อออกหนึ่งชั้นเลยค่ะ เหงื่อท่วม!! แต่พอถึงตอนหัวค่ำแม่ตัดสินใจถูกมากที่เอาเสื้อกันหนาวมาเยอะเพราะหนาวสุดขั้วค่ะ และแพลนเราคือ เดินเที่ยว!! ให้ทั่ว ดังนั้นเพื่อประหยัดแรงก็เรียกแท็กซี่ค่ะ



ไปถึงก็โดนตรวจกระเป๋าก่อน ซึ่งผ่านฉลุย เราเอาขนมปัง แซนวิซกับน้ำดื่มเข้าไปด้วยเพราะ… จำได้ว่าคิวร้านอาหารนานมากกกก กินตอนระหว่างรอพาเหรดนี่คือช่วยประหยัดเวลาเที่ยว อิอิ อ้อเราเตรียมเสื่อไปปูนั่งด้วยนะคะ ช่วยได้เยอะเลยค่ะเวลาจองที่ดูพาเหรด




ตอนนี้ไม่มีขายตั๋วแบบ walkin นะคะ พอสแกน Check-in เสร็จแล้วก็เปิดแอพ Disneyland Resort ที่โหลดเตรียมไว้ แอดลูกทุกคนเข้าในกลุ่ม เดินไปที่จุดประชาสัมพันธ์ จัดการเรื่อง Lottery ดูโชว์ กับซื้อตั๋ว DPA ของ Beauty and the beat (คล้าย Fast pass แต่จะได้เครื่องเล่นที่ซื้อเท่านั้น) 2000 เยนต่อคน จ่ายค่ะ ไม่ได้มาบ่อยจ่ายได้จ่ายค่ะ อิอิ ขนาดซื้อยังได้เวลา DPA ตอนบ่ายเลยค่ะ มันก็มีจำกัดการแทรกนะคะ เครื่องเล่นใหม่คนแย่งเล่นคิวโหดมากค่ะ

ปกติเวลาเที่ยวดิสนีย์แลนด์ แม่จะแพลนล่วงหน้าว่าจะเดินจากไหนไปไหน แต่หลังจากโควิทมีการเปลี่ยนภายในหลายอย่างค่ะ ทั้งต้องลุ้นดวงล็อตเตอรี่ดูโชว์ จองคิว DPA เครื่องเล่นเปลี่ยนเวลาปิด-เปิด สรุปคือต้องเคลียร์ทุกอย่างให้จบค่อยแพลน อย่างวันนี้ยกเลิกพาเหรดกลางคืนด้วยค่ะ เศร้าเลย



นี่เรามาวันอังคาร ถือว่าคนน้อยกว่าปกติค่ะ รอประมาณ 30-45 นาทีต่อเครื่องเล่น ครั้งนี้ลูกอายุเกิน 7 ขวบ สามารถนั่งคู่กันได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองนั่งด้วย ดังนั้นลูกเล่นเครื่องเล่นได้เกือบหมดเลยค่ะ ลูกสนุกมากๆ เครื่องเล่นที่เราเล่นทั้งหมดคือค่อนข้างเก็บครบ ตามคาดการณ์ช่วงเย็นๆพายุมาคนกลับกันหมดเลย ไม่มีคิว ดีงามมากกกก อยู่เล่นจนสวนสนุกปิดกันเลยค่ะ 3 ทุ่ม!!! ลมพัดเด็กๆทีแทบปลิว 555 แต่ลูกชอบค่ะเพิ่งเคยเจอลมแรงขนาดนี้จะบินกันให้ได้ จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับโรงแรม วันนี้คือเด็กๆสนุกและมีความสุขมาก แม่ก็มีความสุขกับลูกไปด้วยที่มีเวลาดีร่วมกัน ![]()

📍 DAY 6 – Akihabara ซื้อโมเดล กาชาปอง กลับสุวรรณภูมิ
วันสุดท้ายของทริป เราต้องเตรียมตัวเก็บกระเป๋ากลับ แต่ไฟลท์เราคือออกเที่ยงคืน ดังนั้นจึงมีเวลาเที่ยวได้อีกวันค่ะ แพลนเราคือเที่ยวหมุนกาชาปองที่ Akihabara และกินเนื้อย่างอร่อยๆ เพื่อประหยัดเวลาเรียกแท็กซี่อีกแล้วววว 555+ มันสะดวกจริงๆนะคะ ให้ไปลงที่ Akihabara Gachapon Hall ซึ่งจะมีเยอะหลายแบบให้เลือก แล้วก็เดินไปเดินมาแถวนั้นทั้งเส้นก็ตู้เยอะมากค่ะ ทั้งฟิกเกอร์ โมเดล กันดั้ม เพียบบบบบ หรือจะไป ชั้น 6 ของห้าง Yodobashi Camera หรือจะข้ามไป Liberty Hobby Shop ก็เพียบค่ะ ไม่ก็ Akihabara Radio Kaikan เยอะจริงๆ


หลักๆที่เราอยากไปคือกดตู้ Genshin Impact ถ้าเป็นร้านที่อยู่ข้างทางคือหมดเกลี้ยงทุกตู้ ไปที่ร้าน Genshin Conner ที่ชั้น 5 ตึก Don Quijote Akihabara ซึ่งดันเป็นชั้นเดียวกับของเล่นผู้ใหญ่
พาลูกเดินหนีแทบไม่ทัน 555 และทั้งตึกนี้มีแต่ของฝากที่คนชอบซื้อกลับกันเพียบ และเช่นเคยทุกที่ต้องเอา passport ไปด้วยนะคะจะได้คืนภาษีค่ะ



จากนั้นก็ไปทานเนื้อย่างที่ Yakiushi ฟินๆหอมๆก่อนขึ้นเครื่อง 555 ดีที่ทั้งร้านมีแต่โต๊ะเรา กลิ่นเลยไม่แรงค่ะ จากนั้นก็กลับโรงแรมเก็บของล็อตสุดท้ายลงกระเป๋าก่อนไปสนามบิน ทุกร้านในสนามบิน 2 ทุ่มกว่าๆคือเก็บของปิดร้านกันแล้วค่ะ ไม่ได้ช้อปอะไรเลย เด็กๆก็ทานแค่ข้าวปั้นกับแซนวิชจากตู้อัตโนมัติ ขนาดเล้าจ์ยังปิดไวอ่ะค่ะ หิวกันมากค่ะ

📍 DAY 7 – กลับเชียงใหม่
รอเครื่อง 0:10 น. ข้ามวันก็บินกลับสุวรรณภูมิ การเดินทางช่วงกลางคืนนี่ใครนอนหลับลงคือว่ามีบุญสุดๆ 555+ เครื่องมาถึงตอนตี 4 นิดๆ ตรวจเอกสาร ตม. เสร็จก็ตี 5 ได้นอนต่อในเลาจ์ถึง 7 โมงเช้าก็กลับเชียงใหม่ค่ะ
ถึงบ้านคือสลบบบบบบ หมดแรงกันทุกคน แต่สนุกและประทับใจกันมาก นี่ดันลืมไอแพดไว้ที่โรงแรมอีก น่าจะต้องจัดอีกรอบเพื่อกลับไปเอาของละมั้ง ![]()
![]()




