
วิชาภาษาอังกฤษของเด็กอินเตอร์เรียนอะไรบ้าง ?
เห็นเที่ยวบ่อยแบบนี้ไม่ได้เน้นเที่ยวอย่างเดียวนะคะ การเรียนเราก็โอเคอยู่น้าาาาา เปลี่ยนหัวข้อมาคุยเรื่องการเรียนลูกบ้างดีกว่า ชีวิตเด็กโรงเรียนอินเตอร์ที่ผ่านมาภาษาอังกฤษดีไหม เรียนอะไรกันบ้าง สำหรับครอบครัวที่พูดไทยล้วนแบบเรา การส่งไปเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนคือ แม่สบาย~
ตอนนี้เราก็ยังเรียนที่เดิมคือ 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗮𝗽𝗼𝗿𝗲 𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗦𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹 𝗼𝗳 𝗕𝗮𝗻𝗴𝗸𝗼𝗸 หรือเรียกสั้นๆว่า SISB ที่แคมปัสเชียงใหม่นะคะ เป็นโรงเรียนอินเตอร์ หลักสูตรสิงคโปร์ เราเริ่มตั้งแต่อายุ 2 ขวบ 10 เดือน เผลอแป๊บๆ เรียนมาจะ 5 ปีแล้วไวมากกกกก
เวลาคุยเรื่องโรงเรียนลูก มักจะมีคำถามตามมาเสมอว่าภาษาอังกฤษโอเคไหม ดีไหม เรียนอะไรกันบ้าง ครูดีไหม การบ้านเยอะไหม เพราะเด็กๆที่ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์หลายคนย่อมคาดหวังกับระดับภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ยิ่งของเราเป็นหลักสูตรสิงคโปร์ด้วยจะมีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษไหมน้า หรือใครอยากรู้เรื่องภายใน มาๆเมาท์ให้ฟังค่ะ ![]()
![]()
![]()



สำหรับวิชาภาษาอังกฤษของที่นี่จะเรียกว่า วิชา 𝐋𝐢𝐭𝐞𝐫𝐚𝐜𝐲 ซึ่งทักษะด้านการฟัง-พูดยังไงก็ต้องคล่องเป็นธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ เพราะได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการเรียนจึงเน้นเป็นวิชา 𝐋𝐢𝐭𝐞𝐫𝐚𝐜𝐲 ที่เด็กๆจะต้องเป๊ะ!! ได้เรียนรู้ ทักษะการอ่านและการเขียน ซึ่งแน่นอน…หนีไม่พ้นเรื่อง 𝗚𝗿𝗮𝗺𝗺𝗮𝗿 (แกรมม่า) สมัยแม่เป็นเด็กนี่ไม้เบื่อไม้เมากับการต้องมานั่งท่องแกรมม่า ผัน verb จำหลักการเขียน เลยรู้สึกว่ามันยากจัง ทำให้เบื่อวิชานี้ไปเลย แต่ของลูกไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ เด็กๆชอบวิชา literacy มากๆ วันไหนที่มีเรียนคาบแรก ลูกจะกระตุ้นแม่ให้รีบออกจากบ้านแต่เช้า คือไม่อยากไปโรงเรียนสาย ซึ่งแม่ก็เห็นด้วยว่าการไปถึงโรงเรียนไวจะทำให้สมองได้มีเวลาพักและ relax เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ฟังดูดี แต่เหตุผลของลูกไม่ได้คิดไม่ซับซ้อนแบบแม่หรอกเชื่อสิ >__<~



แม่ว่ายากเอาเรื่องอยู่นะคะ ที่จะสอน Grammar ให้ “เด็กเล็ก” นี่ ดังนั้นการเรียนการสอนนี่ต้องมีหลักสูตรที่ดี ใช้กลยุทธ์ เทคนิค และประสบการณ์ในการพิชิตเด็กให้อยู่หมัด นั่นคือ…ถ้าหลักสูตรดีแค่ไหนแต่ครูผู้สอนไม่มีประสบการณ์นำไปใช้งานจริงไม่ได้ หรือในทางกลับกัน แม้จะได้ครูเทพมาสอนแต่หลักสูตรแย่ สอนดีแทบตายเด็กก็ไม่อยากเรียนค่ะ ดังนั้นโรงเรียนและครูต้องทำงานร่วมกันเป็น 𝗧𝗘𝗔𝗠 𝗪𝗢𝗥𝗞 ที่ดีคอยสนับสนุนกัน เด็กๆก็จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมีประสิทธิภาพ





ซึ่งที่นี่มีวิธีการสอนภาษาอังกฤษให้เป็นเรื่องสนุก เข้าถึงเด็กได้ง่าย โดยเด็กๆจะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ (พวกสื่อการสอน Interactive ต่างๆ) ดังนั้นภาษาอังกฤษจะซึมเข้าไปแบบเนียนๆ ไม่รู้ตัว โดย SISB มีการปูพื้นฐานตั้งแต่เตรียมอนุบาลด้วยการเรียนตัวอักษร A-Z แบบ Phonics วิธีนี้ทำให้ลูกสามารถอ่านศัพท์ที่ยังไม่เคยเรียนได้!!! เริ่ด และในทางกลับกันเมื่อลูกอยากจะเขียนลูกก็สามารถสะกดและเขียนออกมาได้เลย
โดยจะแยกออกมาทีละตัวตามเสียง phonics ดังนั้นเวลาอ่านหนังสือหรือสอบเขียนศัพท์ก็จะไม่ใช้ความจำ แต่เป็นความเข้าใจ ทำให้เด็กๆไม่มีปัญหาในการสอบเขียนศัพท์เลยค่ะ ซึ่งในหลักสูตรช่วงอนุบาล 3 ก่อนขึ้น ป1 จะเริ่มมีสอบเขียนศัพท์อาทิตย์ละ 5 คำ เตรียมความพร้อมให้มีคลังคำศัพท์ที่มากพอจะนำไปใช้งาน ซึ่งถามว่าหนักไหม ปริมปรางคือสบายๆค่ะไม่เครียดเลย เพราะเข้าใจ จับหลักได้ นี่คือง่ายมากๆ

อย่างที่บอกว่าวิชา Literacy เน้นอ่านและเขียน ปีนี้แม่ว่าทักษะการอ่านของลูกนี่ก้าวกระโดดไปไวมาก จากอนุบาลมาประถมอย่างกับคนละคนค่ะ สามารถอ่านวรรณกรรมที่มีตัวหนังสือล้วนๆ หรืออ่านป้าย หนังสือ สารคดี ที่เค้าเจอในชีวิตประจำวัน คืออ่านได้หมดแถมออกเสียงถูกด้วย บางคำยากๆแม่อ่านผิดลูกช่วยแก้ให้แม่ด้วยอ่ะ
ตอนไปเที่ยวสิงคโปร์นี่แม่สบาย คือแม่สายตาก็ไม่ค่อยดี พวกป้ายไกลๆให้ลูกช่วยอ่านได้เลยค่ะ ลูกทำตัวมีประโยชน์มาก
แม่ก็ไม่ต้องเหนื่อยวิ่งไปอ่านใกล้ๆ และยิ่งเห็นเทคนิคการสอนของครู โอ้…ทึ่งมาก!!! ทำไมตอนเด็กแม่ไม่มีแบบนี้น้าาาา ยกตัวอย่าง… ครูให้เด็กๆฝึกอ่านจากการร้องเพลงคาราโอเกะ!!! วิธีนี้ลูกสนุกกันมากเลือกเพลงจนแม่มึน เพราะลูกดันอยากร้องทุกเพลง
เด็กๆอ่านเนื้อเพลงคล่องมากค่ะ บางคำยากๆบอกรอบเดียวจำได้ละ แล้วก็เอาไปร้องหน้าห้องฝึกความกล้าแสดงออกไปอีก เห็นลูกมาเล่าว่ามีเพื่อนร้องไห้เพราะประหม่า แต่สุดท้ายเพื่อนคนนั้นก็ทำได้สำเร็จ คุณครู เพื่อนๆทุกคนคอยเชียร์และให้กำลังใจ คือแบบลุ้นและประทับใจกันยกห้องเลยทีเดียวค่ะ ![]()
![]()
ส่วนลูกเราจากเด็กขี้อาย แม่เห็นคลิปที่ครูส่งมาให้ดูแล้วก็อมยิ้มปลื้มใจ ที่ลูกเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก มีความมั่นใจ คือทุกอย่างปีนี้ดีไปในทางบวกไปหมด แม่ก็อดภูมิใจในตัวลูกไม่ได้ //ดีใจมากเลยค่ะ


ส่วนการเขียนภาษาอังกฤษยิ่งทำให้แม่ surprise ไปใหญ่ค่ะ ตอนเราอยู่อนุบาลเห็นพี่ๆประถมเขียนบทความยาวๆ เต็มหน้ากระดาษ แม่ยังท้อใจเลยว่าลูกเราจะไหวไหม เร็วไปป่าว ยากไปไหม แล้วแม่ผู้อ่อนด้อย Grammar จะช่วยลูกยังไงละเนี๊ย แม่ต้องเหนื่อยแน่เลย!!! หรือแม่ควรไปเรียนพิเศษซะเอง
เอาเข้าจริง…ลูกได้มาจากที่โรงเรียนหมดแล้ว เราเป็นแม่ที่ยิ้มหวานๆ พาไปเที่ยว หาอะไรอร่อยๆให้ลูกก็พอ แม่ไม่ต้องเหนื่อยสอนอะไรเพิ่ม หรือต้องไปขวนขวายหาเรียนติวภาษาอังกฤษเพิ่ม มันดียยยยยยย์มากกกกกก![]()
![]()
ที่สำคัญลูกเขียนตัวหนังสือสวยมาก เป็นระเบียบเรียบร้อย ฟอนต์ลายมือที่ลูกเขียนอ่านง่ายมากแล้วเหมือนกันทั้งห้อง!!! ไม่เฉพาะแค่ปริมปราง แต่ทุกคนมีลายมือสวยๆคล้ายกันหมดอ่ะค่ะ แม่แปลกใจมากๆ



พอขึ้นประถมเด็กๆจะต้องสอบเขียนศัพท์ทุกวันศุกร์ สัปดาห์ละ 10-12 คำ มี special เพิ่มบ้างโดยคุณครูจะมีสมุดมาให้ฝึกคัดทุกวัน อย่างที่บอกว่าลูกคล่องจากที่โรงเรียนแล้ว ดังนั้นการบ้านวิชานี้ไม่ถึง 5 นาทีเสร็จละ ไวปรี๊ดดดด อะเมซิ่งมาก
แถมไม่ต้องเรียกมาทำ ลูกรู้หน้าที่!!! ปลื้มหนึ่งละลูกมีความรับผิดชอบ
แม่แค่ช่วยตรวจดูว่างานเรียบร้อยไหม อันนี้ไม่รวมคะแนนสอบที่ได้เต็มทุกครั้งนะคะ
ปลื้มไปอี๊กกก นี่ถ้าจะมาเพิ่มภาระให้แม่ติวสอบ เครียด กดดันทุกสัปดาห์นี่แม่คงไม่ไหวแน่เลย ประสาทไปก่อน 555


ส่วนเทคนิคการสอน Grammar ของที่นี่คือนำเอาเทคโนโลยีบวกความสนุกมาใช้ ซึ่งให้นั่งอ่านนั่งเขียนแต่ในห้องเรียนนี่เบื่อตาย คุณครูมีกิจกรรมสนุกๆที่แม่เห็นก็จะมีทั้งให้ออกแบบเกม เล่นเกม การใช้ QR code มาเป็นสื่อการสอน เห็นคลิปลูกวิ่งถือ Tablet ไปมาหาความลับใน QR code ที่ซ่อนตามจุดต่างๆ ทั่วโรงเรียน แล้วเขียนแต่งประโยคแม่เลยรู้สึกว่าลูกสนุก น่าจะชอบและได้เรียนรู้แบบเนียนๆ บางครั้งก็มีการทำงานเป็นทีม ฝึกการเป็นผู้นำ ฝึกการแบ่งปัน ซึ่งมันถูกสอดแทรก Mindset และ Attitude ที่ดีลงไปพร้อมๆกับการเรียนการสอนด้วยค่ะ
หลักการพวกนี้ทางโรงเรียนเคยแจ้งไว้ในเป้าหมายของโรงเรียนอยู่แล้ว แม่ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่เค้าสอนลูกเรานอกเหนือจากวิชาการ ดูจากกิจกรรม Chain of kindness ที่ครูส่งรูปมาให้ ครูจะประเมินว่าวันนี้ทีมใคร หรือใครยอดเยี่ยมด้านไหนบ้าง เช่น I am principal and I do hard work! นี่เอามาใช้ที่บ้านด้วยนะคะ วันนี้หม่าม๊าทำอะไรดีๆบ้าง มาทำโซ่กระดาษให้แม่ ซึ่งลูกเพิ่มคุณค่าของแม่ได้มากเลย ลูกชมแม่ว่าเก่งขึ้นเพราะสามารถปอกมะพร้าวได้เพียงการลงมีดแค่ 4 ครั้ง (ปกติเฉาะจนเปลือกเละค่ะกว่าจะได้กินน้ำมะพร้าว 555)





ถ้าเป้าหมายของการเก่งภาษาอังกฤษคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน แม่ว่าเรียนที่ไหนเมื่อไรก็ได้ไม่ต่างกันค่ะ ขอแค่ให้เวลา ทุ่มเทและตั้งใจ แต่สิ่งอื่นที่ถูกปลูกฝังมาด้วยกับการเรียนนั้น แม่ว่าแตกต่างกัน ของที่ SISB ทำได้ดีทั้งคู่ ทั้งหลักสูตร Step by step เข้าใจง่าย ทำให้ลูกมีทัศนคติที่ดีกับการเรียน รักและสนุกกับการเรียนรู้ คุณครูที่เอาใจใส่เด็ก วิธีการสอน ประสบการณ์ และ Mindset ที่จะถูกฝึกและติดตัวลูกต่อไปในอนาคต อันนี้เป็นจุดเด่นของที่นี่
ดังนั้นเป้าหมายที่ส่งลูกเรียนอินเตอร์ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาอังกฤษที่ดีเลิศ แต่ต้องถูกปลูกฝังกระบวนการทางความคิด Attitude สอดแทรกในการเรียนด้วย แม่ว่าการสอนของ SISB ถูกใจแม่อ่ะค่ะ เพราะลูกสนุก มีความสุข ได้ความรู้และเก่งแบบเหนือความคาดหมายของแม่ สามารถเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่เลือกส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เดี๋ยวรอดูกันต่อนะคะนี่แค่ปีแรกของประถมยังขนาดนี้ ลุ้นกันเป็นปีๆไปกันค่ะ แต่ปีนี้แม่ปลื้มมากๆ นี่ถึงกับละเมอเป็นภาษาอังกฤษ 555+ ใครอยากรู้เรื่องอื่นๆคอมเมนท์มาสอบถามได้นะคะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแต่ละที่กันได้ค่ะ














